Categories
บทเรียนพระคัมภีร์ เฝ้าเดี่ยว

พระธรรมโรม (บทเรียนที่ 4)

ความชอบธรรมอย่างอับราฮัม

พระธรรม       โรม4:1-25
บทนำ             คุณเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือโดยความเชื่อ? แล้วพระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร? ความเชื่อของคุณแปรเปลี่ยนไปตามอายุหรือสังขารหรือไม่?

บทเรียน
 4:1 “ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไรในเรื่องอับราฮัมบรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต” 

 (What then shall we say was gained by Abraham, our forefather according to the flesh? )

 4:2 “ถ้าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” 

 (For if Abraham was justified by works, he has something to boast about, but not before God. )

 4:3 “พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? ก็ว่า“อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม”

 (For what does the Scripture say? “Abraham believed God, and it was counted to him as righteousness.”)

 4:4 “ส่วนคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ”

 (Now to the one who works, his wages are not counted as a gift but as his due.)

 4:5 “ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้น พระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม”

  (And to the one who does not work but believes in him who justifies the ungodly, his faith is counted as righteousness,)

 4:6 “ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรม โดยไม่อาศัยการประพฤติ”

 (just as David also speaks of the blessing of the one to whom God counts righteousness apart from works)

4:7 “ว่า“คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงยกการอธรรมของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้ว ก็เป็นสุข”

(Blessed are those whose lawless deeds are forgiven, and whose sins are covered;)

4:8 “บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข” 

(blessed is the man against whom the Lord will not count his sin.”)

4:9 “ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัต หรือว่ามีแก่พวกไม่เข้าสุหนัตด้วย? เรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเอง พระองค์ทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม” 

 (Is this blessing then only for the circumcised, or also for the uncircumcised? For we say that faith was counted to Abraham as righteousness. )

4:10 “แต่พระเจ้าทรงถืออย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว หรือเมื่อยังไม่เข้าสุหนัต? ไม่ใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่เข้าสุหนัต” 

 (How then was it counted to him? Was it before or after he had been circumcised? It was not after, but before he was circumcised.)

 4:11 “และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตรารับรองความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อ ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อพระเจ้าจะทรงถือว่าเขาเป็นคนชอบธรรมด้วย” 

 (He received the sign of circumcision as a seal of the righteousness that he had by faith while he was still uncircumcised. The purpose was to make him the father of all who believe without being circumcised, so that righteousness would be counted to them as well, )

 4:12 “และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเรา ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต”

 (and to make him the father of the circumcised who are not merely circumcised but who also walk in the footsteps of the faith that our father Abraham had before he was circumcised.)

 4:13 “เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและลูกหลานของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ” 

 (For the promise to Abraham and his offspring that he would be heir of the world did not come through the law but through the righteousness of faith. )

 4:14 “ถ้าพวกที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไร้ความหมาย และพระสัญญาก็เป็นโมฆะ” 

 (For if it is the adherents of the law who are to be the heirs, faith is null and the promise is void.) 

 4:15 “เพราะธรรมบัญญัตินำไปสู่พระพิโรธ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิด”

(For the law brings wrath, but where there is no law there is no transgression.)

4:16 “เพราะเหตุนี้ การเป็นทายาทนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อรับรองพระสัญญานั้นแก่ลูกหลานของอับราฮัมทุกคน ไม่ใช่แก่ลูกหลานที่ถือธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่แก่ลูกหลานที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคน”

 (That is why it depends on faith, in order that the promise may rest on grace and be guaranteed to all his offspring—not only to the adherent of the law but also to the one who shares the faith of Abraham, who is the father of us all, )

4:17 “ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนหลายชาติ” เฉพาะพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้ชีวิตแก่คนที่ตายแล้ว และทรงเรียกสิ่งที่ยังไม่ได้เกิด ให้มีขึ้น” 

(as it is written, “I have made you the father of many nations”—in the presence of the God in whom he believed, who gives life to the dead and calls into existence the things that do not exist. )

 4:18 “แม้ดูว่าจะหมดหวังแล้ว แต่อับราฮัมยังเชื่อว่าจะได้เป็น“บิดาของชนหลายชาติ” ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น”  

 (In hope he believed against hope, that he should become the father of many nations, as he had been told, So shall your offspring be.”) 

4:19 “ความเชื่อของท่านไม่ได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว (เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว) และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน 

(He did not weaken in faith when he considered his own body, which was as good as dead (since he was about a hundred years old), or when he considered the barrenness of Sarah’s womb. )

4:20 “ท่านไม่ได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคง จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

 (No unbelief made him waver concerning the promise of God, but he grew strong in his faith as he gave glory to God,)

 4:21 “ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งที่ทรงสัญญาได้”

(fully convinced that God was able to do what he had promised. )

4:22 “ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม”

(That is why his faith was “counted to him as righteousness.” )

4:23 “แต่ข้อความว่า “ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม” นั้น ไม่ได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว” 

(But the words “it was counted to him” were not written for his sake alone, )

4:24 “แต่สำหรับเราด้วย ที่ทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นขึ้นจากความตาย” 

 (but for ours also. It will be counted to us who believe in him who raised from the dead Jesus our Lord, )

 4:25 “คือพระเยซูผู้ทรงถูกมอบให้ถึงความตาย เพราะการล่วงละเมิดของเรา คือผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม”

(who was delivered up for our trespasses and raised for our justification.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

4:1 อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา” (Abraham, our forefather) = ตัวอย่างของคนผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติ (1:2) ผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวยิว (ยก.2:21-23)

4:2 “ถ้าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ”  (Abraham was justified by works,) = อาจารย์เปาโลแย้งว่า อับราฮัมท่านไม่ได้เป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติ

4:3 อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม”  (Abraham believed God, and it was counted to him as righteousness) = แต่แท้จริง แล้ว อับราฮัมเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ(กท.3:7-9)
       คำว่า “ถือว่า” = บ่งบอกว่า อับราฮัมไม่ได้ถือรักษาบทบัญญัติอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้รับใช้ หรือ ประกอบพิธีกรรมอะไรเป็นพิเศษ ที่เป็นความดีความชอบใหญ่ที่พระเจ้าโปรดปราน  แต่ ท่านได้รับการยอมรับว่า ชอบธรรมเพราะความเชื่อที่ท่านมีต่อพระเจ้าผู้ทรงกระทำพันธสัญญากับท่านไม่ใช่เพราะการประพฤติแค่นั้น (3:21)

4:6-8 = เมื่อคนบาปกลับใจใหม่ และสารภาพ พระเจ้าให้อภัยและไม่ถือว่าเขาอธรรมอีกต่อไป(สดด.32:3-5;อสค.18:23,27-32;33:14-16) 4:9 -ดู 3:30

4:10 ไม่ใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่เข้าสุหนัต” (It was not after, but before he was circumcised.) = อับราฮัมได้รับการประกาศว่าเป็นคนชอบธรรม (15:6) ประมาณ 14 ปีก่อนเข้าสุหนัต (ปฐก.17:24-26) ปท.กท.3:17

4:11 เครื่องหมายสำคัญ” (the sign of circumcision) =  การเข้าสุหนัต เป็นเครื่องหมายภายนอกที่แสดงถึงความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัม ตามตามเชื่อของท่าน(ปฐก.17:11)
        เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อ ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต” (to make him the father of all who believe without being circumcised)  = อับราฮัมเป็นบิดาของคนต่างชาติ(ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต)ที่ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อ ตั้งแต่ก่อนมีพิธีเข้าสุหนัต(ซึ่งเป็นเครืองหมายเฉพาะของพวกชนชาติยิว)

4:12 “เป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต” (the father of the circumcised ) = ทางเดียวที่จะเป็นผู้ชอบธรรมก็คือทางแห่งความเชื่อ เหมือนอับราฮัมมีก่อนเข้าสุหนัต

4:13  “ไม่ได้มาด้วยธรรมบัญญัติ” (not come through the law) = พระเจ้าไม่ได้ประทานพระสัญญาเป็นรางวัลจากการประพฤติตามธรรมบัญญัติ
         ลูกหลานของท่าน” (his offspring) = ไม่ได้เจาะจงเรื่องทายาทโดยตรง แต่กล่าวถึงสัญญาที่ท่านจะมีลูกหลานหรือเชื้อสายมากมายนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินโลก(ปฐก.13:16) และจะได้รับกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินโลกนี้เป็นมรดก และชนทุกชาติในโลกจะได้รับพรผ่านพวกเขา(ปฐก.12:2-3;18:18)หรือพงศ์พันธุ์ของพวกเขา (ปฐก.22:18)
           ในพระคัมภีร์ปฐมกาลเปิดเผยว่า พระเจ้าประสงค์ให้เป้าหมายที่มีต่อโลกสำเร็จผ่านทางอับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่าน จึงเป็นนัยว่า พวกเขาจะได้รับโลกนี้ เป็นมรดกตามพระสัญญา (สดด.37:9,11,22.29.34,;มธ.5:5) ซึ่งจะเป็นจริงบริบูรณ์เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา

4:14 “พวกที่ถือตามธรรมบัญญัติ” (it is the adherents of the law ) = พวกที่อ้างว่า จะรับมรดกผ่านทางการประพฤติตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วน

4:15 “ธรรมบัญญัตินำไปสู่พระพิโรธ” (the law brings wrath) = บางฉบับ แปลว่า “บทบัญญัติย่อมนำพระพิโรธมาให้” เพราะ บทบัญญัติเปิดเผยให้เห็นบาป และเร้าให้เกิดบาป(7:7-11) และก่อเกิดพระพิโรธ ไม่ใช่ พระสัญญา
        ไม่มีการละเมิด” (no transgression) = ที่ใดไม่มีบทบัญญัติ ที่นั่นก็ยังมีบาป  เพียงแต่จะไม่มีการล่วงละเมิด

4:16 = เป็นการสรุปแนวคิด ของข้อ 11-12    ความเชื่อกับพระคุณเกี่ยวพันกัน~3:24-25;อฟ.2:8-9
        “ที่ถือธรรมบัญญัติ” (adherent of the law) =  คริสเตียวยิว
        ที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัม” (the faith of Abraham,) = คริสเตียนชาวต่างชาติที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัม

4:17 เฉพาะพระพักตร์พระองค์” (in the presence of the God) = ในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นบิดาทั้งของพวกยิวและพวกต่างชาติ
       “ผู้ส่งให้ชีวิตแก่คนที่ตายแล้ว (who gives life to the dead) = อ้างถึงการกำเนิดของอิสอัคที่เกิดจากอับราฮัม และซาราห์ที่พ้นวัยจะมีลูกไปนานแล้ว(ปฐก18:11) และอ.เปาโลคงหมายถึงการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์ด้วย(ข.24-25)
       “ทรงเรียกสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดให้มีขึ้น”   (calls into existence the things that do not exist) = พระเจ้าสามารถสร้างบางสิ่งให้เกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีอะไรเลยเหมือนอย่างกรณีการกำเนิดของอิสอัค

4:18  แม้ดูว่าจะหมดหวังแล้ว…ยังเชื่อว่า…” (In hope he believed against hope) = ทั้งทั้งที่หมดหวังแล้วตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่อับราฮัมก็ยังหวังความหวังของเขาไว้ในพระเจ้า

4:19  ความเชื่อของท่านไม่ได้ลดน้อยลงเลย” (He did not weaken in faith) = แม้มีบางช่วงที่อับราฮัมกระวนกระวายใจ (ปฐก.17:17-18)
       “เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน” (when he considered his own body) = เมื่อท่านเผชิญ และพิจารณาดูความจริง ท่านมองข้ามความยากลำบากทั้งมวลไปที่พระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์
       “คำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน” (when he considered the barrenness of Sarah’s womb)

      = นางซาราห์ไม่สามารถมีบุตรได้ เพราะเลยวัยมีบุตรได้มานาน แล้ว แม้จะอายุน้อยกว่า อับราฮัม10ปี (ปฐก.17:17)

4:20  จึงถวายเกียรติแต่พระเจ้า” (he gave glory to God,) = เพราะอับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้าจะทำตามสัญญา ความเชื่อนั้นจึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า

4:22  ด้วยเหตุนี้เอง” (That is why) = นี่คือเหตุผล

         =เพราะความเชื่อของอับราฮัม
       “ส่งถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม” (counted to him as righteousness.) = เพราะความเชื่อที่แท้จริงในการวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

4:23 “ไม่ได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว” (not written for his sake alone) = ประสบประการของอับราฮัมไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่มีความหมายต่อคนในวงกว้าง การเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อของอับราฮัมนับเป็นจริงตอบทุกๆ คนด้วย

4:24  แต่สำหรับเราด้วย” (but for ours also.) = อับราฮัมได้เป็นคนชอบธรรม เพราะท่านเชื่อในพระเจ้า เราก็จะเป็นคนชอบธรรมเช่นกันโดยความเชื่อ ในพระเยซูผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย(10:9)

4:25  = สะท้อนมาจาก อิสยาห์ 53:12 และอาจอ้างมาจากคำประกาศความเชื่อของคริสเตียนในยุคนั้น
          “เราเป็นคนชอบธรรม” (our justification) ~3:24

คำถามนำอภิปราย

  1. คริสเตียนเราและชาวยิวมีอะไรเหมือนกันและต่างกันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอับราฮัม? และส่งผลกระทบอะไรตามมา อย่างไรบ้าง?
  2. “ชอบทำ” กับ “ชอบธรรมแตกต่างและเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้างในวิถีชีวิตคริสเตียน?
  3. คุณ “เป็นสุข” ในชีวิตหรือไม่? ทำไม? และอย่างไร?
  4. พิธีกรรมอย่างพิธีสุหนัตสำคัญหรือไม่? มีพิธีใดที่สำคัญพอ ๆ กันหรือทดแทนกันได้บ้าง? อย่างไร? และทำไม?
  5. คุณเข้าใจหรือมีปัญหาหรือสับสนในเรื่อง “พระคุณและความเชื่อ” กับ “พระสัญญาและพระบัญญัติ” บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณมีความเชื่อหรือมีความสงสัยในพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์มากขึ้นหรือน้อยลง เมื่อวัยและสังขารของคุณเริ่มเปลี่ยนไปตามวันเวลาของชีวิต? อย่างไร? และทำไม?
  7. พระเยซูคริสต์มีความหมายอะไรต่อคุณ และครอบครัวของคุณ? มากแค่ไหน? และอย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ไม่มีคนชอบธรรมเลยสักคน?

ไม่มีคนชอบธรรมเลยสักคน?

พระธรรม       โรม3:1-31

อ้างอิง           สดด.51:4;14:1-3;53:1-3;5:9;140:3;143:2;10:7;36:1;กท.2:16;3:20;อสย.59:7-8;ฉธบ.6:4

บทนำ           เราทุกคนล้วนเป็นคนบาป ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนาใด แม้แต่คนที่ปากบอว่า ศรัทธาในพระเจ้า  แต่กหากไม่กลับใจจากบาปและรับความรอดโดยการไถ่ของพระคริสต์ เขาก็ยังคงเป็นคนบาปที่ต้องตายเพราะบาปของตัวเอง เราที่กลับใจใหม่ และเชื่อว่าได้รับการประกาศว่า เป็นคนชอบธรรมเพราะความตายของพระคริสต์โดยแท้จริง

บทเรียน

3:1 “ถ้าเช่นนั้นพวกยิวจะได้เปรียบคนอื่นอย่างไร? และการเข้าสุหนัตนั้นจะมีประโยชน์อะไร? 

(Then what advantage has the Jew? Or what is the value of circumcision? )

3:2 “มีประโยชน์ทุกอย่าง ประการแรก พวกยิวได้รับมอบให้รักษาพระดำรัสของพระเจ้า” 

(Much in every way. To begin with, the Jews were entrusted with the oracles of God. )

3:3 “ถึงมีบางคนไม่ซื่อสัตย์ ความไม่ซื่อสัตย์ของเขานั้น จะทำให้ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือ? 

(What if some were unfaithful? Does their faithlessness nullify the faithfulness of God?)

3:4 “ไม่เลย ถึงแม้มนุษย์ทุกคนจะโกหก ก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “เพื่อพระองค์จะทรงชอบธรรมในพระวจนะของพระองค์และทรงมีชัยเมื่อพระองค์ทรงวินิจฉัย”  

(By no means! Let God be true though every one were a liar, as it is written,”That you may be justified in your words,and prevail when you are judged.”)

3:5 “แต่ถ้าความชั่วร้ายของเราเป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร? จะว่าพระเจ้าทรงพระพิโรธโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? (ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์) 

(But if our unrighteousness serves to show the righteousness of God, what shall we say? That God is unrighteous to inflict wrath on us? (I speak in a human way.) 

3:6 “เปล่าเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกได้อย่างไร? 

(By no means! For then how could God judge the world? )

3:7 “แต่ถ้าสัจจะของพระเจ้าปรากฏมากยิ่งขึ้นเนื่องจากการมุสาของข้าพเจ้า จนทำให้พระองค์ได้รับเกียรติแล้ว ทำไมข้าพเจ้าต้องถูกพิพากษาว่าเป็นคนบาป?

(But if through my lie God’s truth abounds to his glory, why am I still being condemned as a sinner?) 

3:8 “และทำไมเราจึงไม่ทำความชั่ว เพื่อความดีจะเกิดขึ้น? ตามที่มีบางคนดูหมิ่นและนินทาหาว่า เราได้กล่าวอย่างนั้น การลงโทษคนเช่นนั้นก็ยุติธรรมแล้ว”

(And why not do evil that good may come?—as some people slanderously charge us with saying. Their condemnation is just.)

3:9 “ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? พวกยิวเราจะได้เปรียบกว่าหรือ? เปล่าเลยเพราะเราได้ชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนทั้งพวกยิวและพวกกรีกต่างก็อยู่ใต้อำนาจบาป” 

(What then? Are we Jews any better off? No, not at all. For we have already charged that all, both Jews and Greeks, are under sin, )

3:10 “ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า“ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียวไม่มีเลย”

(as it is written:”None is righteous, no, not one)

3:11 “ไม่มีคนที่เข้าใจไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า”

( no one understands; no one seeks for God.)

3:12 “เขาทุกคนหลงผิดไปหมด พวกเขาเลวทรามเหมือนกันสิ้นไม่มีสักคนเดียวที่ทำดีไม่มีเลย” 

(All have turned aside; together they have become worthless;no one does good,not even one.”)

3:13 “ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา” 

( “Their throat is an open grave;they use their tongues to deceive.””The venom of asps is under their lips.”)

3:14 “ปากของพวกเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าอันขมขื่น” 

( “Their mouth is full of curses and bitterness.”)

3:15 “เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด”

(“Their feet are swift to shed blood;)

 3:16 “ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์”

 ( in their paths are ruin and misery,)

 3:17 “และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข” 

 (and the way of peace they have not known.”)

 3:18 “เขาไม่เคยคิดจะยำเกรงพระเจ้า  ”

 (“There is no fear of God before their eyes.”)

 3:19 “เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็กล่าวแก่พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และให้โลกทั้งหมดอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า”

(Now we know that whatever the law says it speaks to those who are under the law, so that every mouth may be stopped, and the whole world may be held accountable to God.)

3:20 “เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาป”

(For by works of the law no human being will be justified in his sight, since through the law comes knowledge of sin.)

3:21 “แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและพวกผู้เผยพระวจนะ” 

(But now the righteousness of God has been manifested apart from the law, although the Law and the Prophets bear witness to it— )

3:22 “คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน” 

(the righteousness of God through faith in Jesus Christ for all who believe. For there is no distinction: )

3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”

(for all have sinned and fall short of the glory of God, )

3:24 แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว” 

(and are justified by his grace as a gift, through the redemption that is in Christ Jesus, )

3:25 “พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น”

(whom God put forward as a propitiation by his blood, to be received by faith. This was to show God’s righteousness, because in his divine forbearance he had passed over former sins.)

3:26 “และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

(It was to show his righteousness at the present time, so that he might be just and the justifier of the one who has faith in Jesus)

3:27 “เพราะฉะนั้น เราจะเอาอะไรมาอวด? ไม่มีทางทำได้เลย จะเอาการทำตามธรรมบัญญัติหรือ? จะเอาการประพฤติหรือ? ก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาหลักเกณฑ์ของความเชื่อ” 

(Then what becomes of our boasting? It is excluded. By what kind of law? By a law of works? No, but by the law of faith. )

3:28 “เพราะเราเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ” 

(For we hold that one is justified by faith apart from works of the law.๗

3:29 “หรือว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นพระเจ้าของยิวพวกเดียวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของพวกต่างชาติด้วยหรือ? ถูกแล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกต่างชาติด้วย” 

(Or is God the God of Jews only? Is he not the God of Gentiles also? Yes, of Gentiles also, )

3:30 “เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์ทรงทำให้คนที่เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ และทำให้คนที่ไม่เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมก็ทางความเชื่อเหมือนกัน”

(since God is one—who will justify the circumcised by faith and the uncircumcised through faith.)

3:31”ถ้าเช่นนั้นเราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ? เปล่าเลย เรายังชูธรรมบัญญัติขึ้นอีก”

(Do we then overthrow the law by this faith? By no means! On the contrary, we uphold the law.)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:2       “ประการแรก” (to begin with ) =เปาโลกล่าวถึงประโยชน์จากการเป็นคนยิวอย่างอื่นๆ ไว้ใน รม.9:4-5

            “ได้รับมอบ” (entrusted ) =ได้รับมอบหมาย

             = การได้สิทธิพิเศษในการมีพระบัญญัติหรือพระดำรัสของพระเจ้ามาพร้อมกับหน้าที่รับผิดชอบ

              “พระดำรัสของพระเจ้า” (the oracles of God) = พันธสัญญาเดิม

3:3         “ความซื่อสัตย์ของพระเจ้า” (the faithfulness of God)= พระเจ้าซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาของพระองค์ และจะลงโทษชาวอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟัง (ข.5;2ทธ.2:13)

3:4        “ก็ขอให้พระเจ้าสัตย์จริงเถิด” ( Let God be true) การลงโทษบาปของพระเจ้าคือ การแสดงความสัตย์ซื่อต่อพระลักษณะอันชอบธรรมของพระเจ้า

3:5       “เป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า” (to show the righteousness of God) บางฉบับแปลว่า “ทำให้ความชอบธรรมของพระเจ้าโดดเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น” เพราะความชอบธรรมของพระเจ้าขัดกับภูมิหลังอันมืดมิดของบาปในตัวของมนุษย์เรา

            “พูดอย่างมนุษย์”  (I speak in a human way) = ในแง่ของความโง่เขลาและอ่อนแอ

3:6       “จะทรงพิพากษาโลก” (judge the world) = ในวันพิพากษา “โลก” = สิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่มีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี (ใน ข.19 ด้วย) เจาะจงกว่าใน 1:20

3:8       “แล้วทำไมเราจึงไม่ทำความชั่วเพื่อความดีจะเกิดขึ้น” (why am I still being condemned as a sinner?)

           = บางฉบับแปลว่า “ทำไมไม่กล่าวว่า  ให้เราทำชั่วเพื่อความดีจะได้เกิดขึ้น” อ.เปาโลกล่าวถึงเรื่องนี้มากขึ้นในบทที่ 6

3:9       “พวกยิวเราจะได้เปรียบกว่าหรือ?” (Jews any better off)= พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ?

             = ในสายพระเนตรของพระเจ้าคนยิวดีกว่าคนต่างชาติหรือ

             “ต่างก็อยู่ใต้อำนาจบาป” (are under sin) =“ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด”

              = อ.เปาโลกำลังกล่าวถึงความเป็นสากลของบาป โดยกล่าวถึงลักษณะเดียวกันนี้ รวม 9 ครั้ง ใน 4 ข้อ

             “ใต้อำนาจบาป” =ภายใต้อำนาจและการลงโทษของบาป

3:10-18   อ.เปาโลอ้างพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หลายตอนเพื่อสนับสนุนว่า ยิวและต่างชาติล้วนตกอยู่ในอำนาจบาป โดย อ.เปาโลไม่ได้อ้างอิงข้อพระคัมภีร์ตามตัวอักษรเสมอไป

  1. การอ้างอิงในพันธสัญญาใหม่ มุ่งให้ความหมายทั่วไป ไม่ได้มีความหมายตามตัวอักษร
  2. ในภาษากรีก ไม่มีเครื่องหมายคำพูด
  3. ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิงมักมาจากพันธสัญญาเดิม ฉบับแปลกรีกที่เรียกว่า ฉบับ เซปทัวจิ้น เพราะผู้อ่านไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรู
  4. บางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ให้ขยาย ย่นย่อหรือดัดแปลงข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อนำเข้าสู่ประเด็น

3:11     “ไม่มีคนที่เข้าใจ” (no one understands)= คนที่เข้าใจเรื่องพระเจ้าและสิ่งที่ถูกต้อง

3:13     “หลุมฝังศพที่เปิดอยู่” (is an open grave) = ความเสื่อมทรามทางจิตใจ

3:18     “ยำเกรงพระเจ้า”  (fear of God )= พระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งคุณงามความดีทั้งปวง (ปฐก.20:11;สภษ.1:7)

3:19     “เรารู้แล้วว่า” (we know) ดู2:2

            “ธรรมบัญญัติ” (the law) =พันธสัญญาเดิม (เช่นใน ยน.10:34:15:25;1คร.14:21)

             “พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ” (those who are under the law)= พวกยิว

              “ปิดปากทุกคน…โลกทั้งหมด” (mouth may be stopped… the whole world) = ทั้งคนยิวและคนต่างชาติก็ล้วนทำบาปผิดเหมือนกัน

3:20     “เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้” (no human being will be justified in his sigh) = บางฉบับแปลว่า “ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า”  -ข.24;2:13

             “ทำให้เรารู้จักบาป” ( knowledge of sin) –บางฉบับแปล “ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            อ.เปาโลถือว่า นี่เป็นหมายแรกของธรรมบัญญัติ (7:7)

3:21-5:21 = หลังจากแสดงว่าทุกคน(ยิวและคนต่างชาติ) นี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนไม่ชอบธรรม(1:18-3:20) 

             -ในตอนนี้ อ.เปาโลแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมความชอบธรรมให้แก่มวลมนุษยชาติ

3:21     “แต่เดี๋ยวนี้” (But now) = “แต่บัดนี้”  อาจมีความหมายได้ 2 อย่าง

  1.  เชิงบวก –เวลาทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง และในช่วงของ “บัดนี้” –ความชอบธรรมของพระเจ้าถูกสำแดงให้ เห็น
  2. เชิงตรรกะ –มีความขัดแย้งระหว่างความชอบธรรม ซึ่งได้มาโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ (ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ข้อ 20 ) กับความชอบธรรมที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้

       “นอกเหนือธรรมบัญญัติ” (manifested apart from the law) = นอกเหนือจากการรักษาบทบัญญัติ

        “หมวดธรรมบัญญัติ และพวกผู้เผยพระวจนะ” (although the Law and the Prophets) –ปฐก.15:6; สดด.32:1-2;ฮบก.2:4

3:22     “ไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน” (no distinction) = ทุกคนทำบาปแต่สามารถรับพระคุณ ให้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่าง ยิว และคนต่างชาติ เพราะได้เหมือนกัน โดยพระเจ้าไม่คิดมูลค่า – รม.10:12;  กท.3:28;คส.3:11

3:23     “พระสิริของพระเจ้า” (the glory of God) –บางฉบับแปลว่า “พระเกียรติสิริของพระเจ้า”

            = พระเจ้าประสงค์ให้มนุษย์เป็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์มีก่อนที่จะล้มลงในความผิดบาป (ปฐก.1:26-28;สดด.8:4-8;ปท อฟ.4:24;คส.3:10)  และผู้ที่เชื่อจะกลับมีอีกครั้งโดยพระเยซูคริสต์ (ฮบ.2:5-9)

3:24     “มีพระคุณ” (his grace)  -ยน.1:14,16-17;รม.4:16;5:21;6:14;11:5;2คร.12:9;อฟ.2:8;4:7;ทต.2:11;ฮบ.4:16

           “ให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า” (are justified by his grace as a gift)   =บางฉบับแปลว่า ”พระองค์ทรง นับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า”

         -อ.เปาโลใช้กริยาของคำนี้ในภาษากรีก 27 ครั้ง (ส่วนใหญ่อยู่ในโรม และกาลาเทีย) ส่วนใหญ่แปลความหมายไปในทำนอง “นับว่า…เป็นผู้ชอบธรรม” ยกเว้น ใน 2:13  แปลทำนองว่า “ประกาศว่าเป็นผู้ชอบธรรม” หรือ “ถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม” มีความหมาย 2 ด้าน

  1. พระเจ้าประกาศว่าคน ๆ นั้นพ้นผิด (-)
  2. พระเจ้าประกาศว่าคน ๆ นั้นชอบธรรม (+)

         “ทรงไถ่” (through the redemption) = คำที่เป็นภาษาที่มาจากตลาดค้าทาส โดยมีการจ่ายเงินเป็นค่าไถ่ทาสตามราคาให้เป็นอิสระ อ.เปาโลใช้คำนี้หมายถึงการปลดปล่อยคนให้พ้นจากความผิดและภาระหนี้สินที่ต้องถูกพิพาษา และหมายถึง การช่วยก็ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป โดยพระคริสต์ ยอมสิ้นพระชนม์เป็นค่าไถ่จ่ายหนี้บาปแทนเรา

3:25     “เครื่องบูชาไถ่บาป” (whom God put forward as a propitiation)  = บางฉบับแปลว่า “เครื่องบูชาลบบาป”

           -ในภาษากรีก หมายถึงเครื่องบูชาที่ใช้ระงับพระพิโรธอันชอบธรรมของพระเจ้า มิฉะนั้นมนุษย์จะถูกลงโทษหนักหนาเป็นนิรันดร์ (1ยน.2:2)
           “โดยพระโลหิตความเชื่อจึงได้ผล” (by his blood to be received by faith.)= ความเชื่อที่ช่วยให้รอดต้องมีศูนย์กลางอยู่ที่การพลีพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพื่อเรา

            -ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สัตว์ที่นำมาถวายบูชาเป็นสัญญลักษณ์การลงโทษบาป ในที่นี้คือ การลงโทษบาปต่อคนของพระเจ้าทั้งหมดได้ตกอยู่กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ถวายเพียงครั้งเดียวไถ่บาปทุกคนได้ตลอดไป

3:28     “โดยอาศัยความเชื่อ” (by faith) –ยก.2:14-26 ,เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ แปลข้อความตอนนี้ ท่านเพิ่มคำว่า “เท่านั้น” เข้าไปด้วย แม้ไม่มีในภาษากรีก แต่ก็ได้สะท้อนความหมายได้ตรงประเด็น

3:30     “ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว” (God is one) = อ.เปาโลดึงความสนใจไปที่ ความเชื่อพื้นฐานของชาวยิว คือพระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าองค์เดียว –ฉธบ.6:4  ,โดย อ.เปาโลยืนยันว่าทางแห่งความรอดสำหรับคนยิวและคนต่างชาติหรือคนเข้าสุหนัตกับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตมีทางเดียว คือ การเชื่อในพระเยซูคริสต์

3:31     “…เราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ?” (Do we then overthrow the law by this faith?) = อ. เปาโลคงคาดเดาได้ว่า จะถูกกล่าวหาว่าต่อต้านธรรมบัญญัติ คือ ถ้าสอนว่า การถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมนั้นมาจากความเชื่อเท่านั้น เพราะจะทำให้เข้าใจว่า บทบัญญัติจะถูกละทิ้งไปเช่นนั้นหรือ

            อ.เปาโล จึงให้คำตอบไว้ชัดเจนใน บทที่ 6-7 และเพิ่มอีกครั้งใน 13:8-10 ว่า บทบัญญัติยังมีความสำคัญและมีผลอยู่

คำถามนำอภิปราย 

  1. การเป็นคริสเตียนมีอะไรพิเศษหรือได้เปรียบอะไรมากกว่าคนไม่ใช่คริสเตียนบ้าง?
  2. คุณเคยไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าหรือผิดคำมั่นสัญญาต่อพระองค์ ทำให้รู้สึกละอายและคิดว่าพระเจ้าจะไม่ยอมรับเราอีกต่อไปแล้วหรือไม่? แล้วจริง ๆ เป็นเช่นนั้นหรือไม่? ทำไม?
  3. คุณเข้าใจอย่างไรกับประโยคที่ว่า “ความอธรรม” ของเราทำให้ “ความชอบธรรม” ของพระเจ้าเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น? หรือ “การอสัตย์ของเรา” ทำให้เราเห็นความ “สัตย์จริง” ของพระเจ้าเด่นชัดขึ้น? สิ่งนี้ทำให้เรามีข้ออ้างที่จะทำบาปอธรรมและไม่สัตย์ซื่อเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่? ทำไม?
  4. คุณเห็นด้วยหรือไม่ที่ว่า “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม แม้สักคนเดียวเลย” ทั้ง ๆ มีคนที่ดูเหมือนเป็นคนดีมากมายในสังคม? ทำไม?
  5. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่บทบัญญัติปิดปากของคุณบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?
  6. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินหรือได้ทราบว่า พระเยซูทรงยอมเป็นเครื่องบูชาลบบาปของคุณ? ทำไม? และส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง?
  7. คุณเคยเป็นคนที่ภูมิใจในความรู้ในบทบัญญัติของพระเจ้าและรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น ๆ บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณยังรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่ในวันนี้?  ทำไม?
  8. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อทราบว่า ไม่ว่าคุณจะรู้บทบัญญัติมากสักแค่ไหน แต่ในที่สุดคุณก็จะรอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อเท่านั้นไม่ใช่บนความรู้หรือความดีของคุณ? และส่งผลอะไรต่อเป้าหมายและวิถีชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระเจ้า ยิว & ธรรมบัญญัติ

พระธรรม        โรม 2:1-29

อ้างอิง            มธ.7:1;ลก.6:37;สดด.62:12;สภษ.24:12;ฉธบ.10:17;อสย.52:5

บทนำ             คนเรานี่แปลก ชอบตัดสินคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขาจริง ๆ เลย เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเห็นฝุ่นผงในตาของคนอื่น แต่ไม้ซุงทั้งท่อนในตาของตัวเอง เรากลับมองไม่เห็น  อย่าให้เราติดยึดกับบัญญัติหรือความดี (จอมปลอม) ของตัวเราเองและทำให้พระเจ้าและผู้อื่นต้องเสียใจ!

บทเรียน

2:1 “เพราะฉะนั้น มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านพิพากษาอีกคนหนึ่งนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อพิพากษาเขา ก็ได้ลงโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่ตัดสินเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา”

(Therefore you have no excuse, O man, every one of you who judges. For in passing judgment on another you condemn yourself, because you, the judge, practice the very same things. )

2:2 “เรารู้ว่า การที่พระเจ้าทรงลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็สมควรจริงๆ”

(We know that the judgment of God rightly falls on those who practice such things. )

2:3 “มนุษย์เอ๋ย ท่านที่ตัดสินคนที่ประพฤติเช่นนั้น แต่ยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดว่าจะพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าหรือ?” 

(Do you suppose, O man—you who judge those who practice such things and yet do them yourself—that you will escape the judgment of God? )

2:4 “หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาอันอุดม ความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ โดยไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้น มุ่งจะชักนำท่านให้กลับใจใหม่? 

(Or do you presume on the riches of his kindness and forbearance and patience, not knowing that God’s kindness is meant to lead you to repentance? )

2:5 “แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงสะสมโทษให้แก่ตัวเอง ในวันที่พระเจ้าทรงพระพิโรธ ซึ่งพระองค์จะทรงสำแดงการพิพากษาที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์”

(But because of your hard and impenitent heart you are storing up wrath for yourself on the day of wrath when God’s righteous judgment will be revealed.)

2:6 “เพราะพระองค์จะประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา” 

(He will render to each one according to his works: )

2:7 “สำหรับคนที่พากเพียรทำความดี แสวงหาศักดิ์ศรี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้” 

(to those who by patience in well-doing seek for glory and honor and immortality, he will give eternal life; )

 2:8 “แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงโทษคนที่มักเห็นแก่ตัวและไม่ประพฤติตามสัจจะ แต่ประพฤติชั่ว” 

 (but for those who are self-seeking and do not obey the truth, but obey unrighteousness, there will be wrath  and fury. )

2:9 “ความทุกขเวทนาจะเกิดแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกกรีกด้วย”

 (There will be tribulation and distress for every human being who does evil, the Jew first and also the Greek,) 

2:10 “แต่ศักดิ์ศรี เกียรติ และสันติสุข จะมีแก่ทุกคนที่ประพฤติดี แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกกรีกด้วย” 

(but glory and honor and peace for everyone who does good, the Jew first and also the Greek. )

2:11 “เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าใครเลย”

(For God shows no partiality.)

2:12 “พวกที่ไม่มีธรรมบัญญัติและทำบาป จะต้องพินาศโดยไม่อ้างธรรมบัญญัติ และพวกที่มีธรรมบัญญัติและทำบาป ก็จะต้องถูกพิพากษาตามธรรมบัญญัติ”

(For all who have sinned without the law will also perish without the law, and all who have sinned under the law will be judged by the law. )

2:13 “เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า คนที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติต่างหากที่พระเจ้าทรงทำให้เป็นผู้ชอบธรรม” 

(For it is not the hearers of the law who are righteous before God, but the doers of the law who will be  justified.)

2:14 “เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่มีธรรมบัญญัติได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านั้นแม้ไม่มีธรรมบัญญัติก็เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง” 

(For when Gentiles, who do not have the law, by nature do what the law requires, they are a law to  themselves, even though they do not have the law. )

2:15 “เขาแสดงให้เห็นว่าหลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัตินั้น มีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และมโนธรรมก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆ ของเขานั้นแหละจะกล่าวโทษตัวเขา หรืออาจจะแก้ตัวให้ก็ได้” 

(They show that the work of the law is written on their hearts, while their conscience also bears witness, and their conflicting thoughts accuse or even excuse them )

2:16 “ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น”

(on that day when, according to my gospel, God judges the secrets of men by Christ Jesus.)

2:17 “แต่ถ้าท่านเรียกตัวเองว่ายิวและพึ่งธรรมบัญญัติ และอวดว่าตนมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระเจ้า” 

(But if you call yourself a Jew and rely on the law and boast in God )

2:18 “และว่าท่านรู้จักพระประสงค์ของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าได้เรียนจากธรรมบัญญัติ” 

(and know his will and approve what is excellent, because you are instructed from the law; )

2:19 “และถ้าท่านมั่นใจว่าเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด” 

(and if you are sure that you yourself are a guide to the blind, a light to those who are in darkness, )

2:20 “เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีแบบจำลองของความรู้และความจริงในธรรมบัญญัตินั้น”

(an instructor of the foolish, a teacher of children, having in the law the embodiment of knowledge and truth— )

2:21 “ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ? ขณะที่ท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า? 

(you then who teach others, do you not teach yourself? While you preach against stealing, do you steal? )

2:22 “ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณีตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า? ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารไหม? 

(You who say that one must not commit adultery, do you commit adultery? You who abhor idols, do you rob temples?)

2:23 “ท่านผู้โอ้อวดว่ามีธรรมบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเกียรติพระเจ้าด้วยการละเมิดธรรมบัญญัติหรือเปล่า?

(You who boast in the law dishonor God by breaking the law. )

2:24 “เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นท่ามกลางคนต่างชาติก็เพราะพวกท่าน”

(For, as it is written, “The name of God is blasphemed among the Gentiles because of you.”)

2:25 “ถ้าท่านประพฤติตามธรรมบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัต ก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดธรรมบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย” 

(For circumcision indeed is of value if you obey the law, but if you break the law, your circumcision becomes uncircumcision. )

2:26 “เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังประพฤติตามธรรมบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้น จะถือว่าเขาได้เข้าแล้วไม่ใช่หรือ? 

(So, if a man who is uncircumcised keeps the precepts of the law, will not his uncircumcision be regarded as circumcision?)

2:27 “และพวกที่ไม่เข้าสุหนัตทางร่างกาย แต่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ เขาจะพิพากษาท่านผู้มีประมวลธรรมบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดธรรมบัญญัตินั้น” 

(Then he who is physically uncircumcised but keeps the law will condemn you who have the written code and circumcision but break the law. )

2:28 “เพราะว่ายิวแท้ ไม่ใช่คนเป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น”

(For no one is a Jew who is merely one outwardly, nor is circumcision outward and physical. )

2:29 “คนเป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ได้รับจากพระเจ้า”

(But a Jew is one inwardly, and circumcision is a matter of the heart, by the Spirit, not by the letter. His praise is not from man but from God.๗

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1-16  -ในพระธรรมตอนนี้ อ.เปาโลเปิดเผยหลักการพิพากษาของพระเจ้าว่า พระเจ้าพิพากษาดังนี้

  1. ตามความเป็นจริง (2:2)
  2. ตามการกระทำ (2:6-11)
  3. ตามจิตสำนึก (2:12-25)

และท่าน อ.เปาโล เอาหลักการเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานในการอภิปรายเรื่องความผิดของพวกยิว (2:17-29)

2:1    “ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (you have no excuse) = คำสอนเรื่องการตัดสิน(พิพากษา) ของเปาโล สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซู  (มธ.7:11) -ที่พระองค์กล่าวโทษการตัดสินที่หน้าซื่อใจคด

         “ท่านที่ตัดสินเขา” (you who judges.) = บางฉบับแปลว่า  “ท่านผู้เป็นคนตัดสิน”

          = คำเตือนที่เกี่ยวกับพวกยิวเป็นพิเศษ ชาวยิวดูถูกคนต่างชาติ เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องการสำแดงของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม และพวกเขาดำเนินชีวิตที่ผิดจริยธรรม

2:2       “เรารู้ว่า” ( We know)  = สำนวนที่เปาโลใช้บ่อย ๆ เป็นการสันนิษฐานว่า ผู้ฟังของเปาโลน่าจะเห็นด้วยกับข้อความที่ตามมา (3:19;6:6,9;7:14;8:22,28;1คร.8:1,4;2คร.5:1;1ทธ.1:8)

2:3       “พระเยซูก็กล่าวโทษเช่นนี้เหมือนกัน”  ใน มธ.7:3   ปท .ลก.18:9

2:4       “พระกรุณาคุณของพระเจ้า” (God’s kindness) = มีเป้าหมายคือ ให้โอกาสกลับใจใหม่ (2ปต.3:9) พวกคนยิว  เข้าใจผิดเรื่องความอดกลั้นของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าพระเจ้าไม่ตั้งพระทัยที่จะพิพากษาพวกเขา

2:5       “วันที่พระเจ้าทรงพระพิโรธ” (the day of wrath) ดู ข้อ 8 , ปท.1:18-32

2:6-7    “พวกเพียรทำความดี” ( patience in well-doing ) –ในที่นี้ อ.เปาโล ย้ำว่า การพากเพียรทำความดีเป็นเครื่องพิสูจน์ความเชื่อแท้จริง (กท .5:6;ยก.2:14-16) ไม่ได้บอกว่า เรารอดโดยการทำดี เพราะเรารอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อในสิ่งที่พระคริสต์กระทำเพื่อเรา ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราทำ

 2:8       “พระพิโรธ” (be wrath) = พระอาชญาและพระพิโรธในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย

 2:9       “แก่พวกยิวก่อน” (Jew first) = สิทธิพิเศษฝ่ายวิญญาณที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ (อมส.3:2;ลก.12:48)

 2:11     “เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าใครเลย” (  For God shows no partiality.) = คำสอนพื้นฐานของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่

2:12     “ธรรมบัญญัติ” (the law) = บทบัญญัติของโมเสส

            “พวกที่ไม่มีธรรมบัญญัติและทำบาป” (  without the law, and all who have sinned) = พวกคนต่างชาติ

             = พระเจ้าตัดสินใจตามจิตสำนึก(มโนธรรม) ที่พระเจ้าประทานมาให้แก่ละคน

                  -คนต่างชาติจะไม่ถูกพิพากษาที่พวกเขาไม่เชื่อฟังบทบัญญัติซึ่งพวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ดังนั้นพวกเขาจะถูกตัดสินด้วยเกณฑ์อื่น  (2:15;1:18-20; ปท.อมส 1:3-2:3)

2:13     “ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม” (the doers of the law who will be justified) = “จะทรงประกาศว่าเป็นผู้ชอบธรรม”   -ในวันพิพากษา (3:24)

2:14     “ได้ประพฤติตามธรรบัญญัติโดยปกติวิสัย” ( by nature do what the law requires, they are a law to themselves) = ไม่ได้หมายความว่า คนต่างชาติประพฤติตามข้อเรียกร้องในบทบัญญัติของโมเสสได้ครบถ้วน แต่หมายความว่า พวกกคนต่างชาติได้ปฏิบัติตนในสังคมพวกเขาสอดคล้องกับบทบัญญัติ อาทิ

  • การดูแลเอาใจใส่คนป่วยและคนอาวุโส
  • การให้เกียรติบิดามารดา
  • การประณามการผิดประเวณี

         “โดยปกติวิสัย” (themselves)= แรงเร้าตามธรรมชาติ โดยปราศจากบทบัญญัติของโมเสส มาควบคุมอยู่ภายนอก

         “เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง” (by nature do)= ธรรมชาติของจริยธรรมของคนต่างชาติที่เป็นไปโดยจิตสำนึก (ข.15) ก็ได้ทำหน้าที่เหมือนบทบัญญัติของโมเสสที่มีต่อพวกยิว

2:16     = ข้อความที่ควรอ่านกับข้อ 13 (โดยมีวงเล็บคั่นข้อ 14-15 ไว้)

            “ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น” (according to my gospel) -16:25

2:17-24    = เป็นการนำเสนอในรูปแบบบทสนทนา อ.เปาโลทราบว่าชาวยิวคิดว่าเขาชอบธรรมอย่างไร (ซึ่งท่านก็เคยคิดและเป็นเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน) อ.เปาโลยกข้อได้เปรียบข้อหนึ่ง (นอกเหนือจากข้ออื่น ๆ ซึ่งพวกยิวถือว่ามีคุณค่า) ซึ่งหมดค่าเมื่อคำพูดและการกระทำไมสอดคล้องกัน  อ.เปาโลกำลังประยุกต์หลักการพิพากษาในข้อ 1-16 ให้เข้ากับคนยิว

2:19-20   “คนตาบอด…เด็ก” (the blind…children) = หมายถึง คนต่างชาติ ปตกคนยิวถือว่า ตนเองสูงสง่ากว่าคนต่างชาติ  เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของบทบัญญัติของโมเสส

2:22        “ท่านเองปล้นวิหารไหม?”(do you rob temples  ) –กจ.19:37  -ในสมัยนั้นทรัพย์สมบัติมากมายมักเก็บไว้ใน วิหารของคนต่างชาติ

2:25       “เข้าสุหนัต” (circumcision) = เครื่องหมายของพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับชาวอิสราเอล  (ลนต.12:3) อันเป็นหลักประกันถึงพระพรของพระเจ้าตามพันธสัญญา (4:11)                แต่ชาวยิวถือว่า การเข้าสุหนัตเป็นการรับประกันความโปรดปรานของพระเจ้า

2:27     “เขาจะพิพากษาท่าน” ( keeps the law will condemn you) = ถ้าการกระทำอันชอบธรรมของคนต่างชาติดีเลิศกว่าของคนยิว – คนยิวก็ควรถูกพิพากษาลงโทษ เพราะพวกเขาถือว่ามีบทบัญญัติของโมเสสที่มีมาตรฐานสูงกว่ามากของชาวต่างชาติอย่างเปรียบเทียบกันไมได้

2:29     “ตามพระวิญญาณ”  (by the Spirit) = บางฉบับแปล “โดยพระวิญญาณ”

            = เครื่องหมายที่แท้จริงว่าเราเป็นของพราะเจ้าไม่ใช่อยู่ที่เครื่องหมายบนร่างกายภายนอก แต่อยู่ที่ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นความหมายของ “การเข้าสุหนัตทางใจ” ของ อ.เปาโล (ดู ฉธบ.30:6;ปฐก.17:10;ยรม.4:4)

            “ไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ได้รับจากพระเจ้า” (His praise is not from man but from God)

              = ไม่ได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ แต่จากพระเจ้า  ปท .ยน.5:41,44;12:43;1คร.4:3-5

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกคนอื่นตัดสินตัวของคุณหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณยอมรับได้หรือไม่? ทำไม?
  2. คุณเคยตัดสินคนอื่นโดยคิดว่าตัวเองดีกว่าเขาบ้างหรือไม่? กับใคร แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการกลับใจครั้งสำคัญในชีวิตหรือไม่? อย่างไร?
  4. ถ้าวันนี้ เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ และคุณจะถูกตัดสินพิพากษาตามการกระทำของคุณ คุณคิดว่า คุณจะได้รับคำชมหรือคำตำหนิจากพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง? (ทำไมจึงคิดเช่นนั้น)?
  5. คุณเคยเห็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่ประพฤติตัวดีกว่าคนที่ท่องพระคัมภีร์ได้มากมายบ้างหรือไม่? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?  (คุณคิดว่า พวกเขาจะรอดหรือไม่?  ทำไมคิดเช่นั้น?)
  6. คุณเชื่อในเรื่องมโนธรรมหรือจิตสำนึกอย่างไร? คุณคิดหรือไม่ว่าหากคนไม่รู้จักพระคริสต์ แต่ประพฤติปฏิบัติตามมโนธรรมนั้นเสมอมาเขาจะรอด? (ทำไม?)
  7. คุณเคยเห็นคนที่สอนดี แต่ทำชั่วหรือพูดสอนอย่างแต่ทำ อีกอย่างบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? ใคร?  ที่ไหน?  (ในโบสถ์มีหรือไม่?) และ อย่างไร? 
  8. คุณเคยเห็นคนหลู่เกียรติพระนามพระเจ้าเพราะพวกคริสเตียนบ้างหรือไม่? อย่างไร? ที่ไหน?  ทำไม?
  9. หากคุณเป็นยิวแท้ที่เข้าสุหนัตทางใจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณจะแสดงวิถีชีวิตออกมาอย่างไร? เป็นเครื่องพิสูจน์

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโรม บทเรียนที่ 1

ข่าวประเสริฐ : หนี้ & ฤทธิ์เดช!

พระธรรม      โรม1:1-32

อ้างอิง           1คร1:1;1ปต4:17;ทต.1:2,4;ยน1:14;1ทธ1:14;2ทธ1:8;3:2-3;รม2:9-10;3:21;8:39;11:25;15:23,32;1คร9:16; 2คร12:20;อฟ5:6;1ธส4:5;กจ14:17;22:20;สดด19:1-6;50:18;81:12;106:20;ยรม2:5;17:9;อสย44:20

บทนำ

พระเจ้าทรงประทานข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลก และมอบให้ผู้ที่เชื่อพระองค์ออกไปบอกกับคนทุกชาติ  หากเรายังไม่ได้บอกกับพวกเขา เราก็ยังเป็นหนี้ข่าวประเสริฐนั้นต่อพวกเขา แต่หากผู้ใดปิดใจยอมรับข่าวดีนั้น พวกเขาจะรอดโดยฤทธิ์เดชแห่งข่าวดีนั้น

บทเรียน

1:1 “เปาโล ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และการตั้งไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า” 

(Paul, a servant of Christ Jesus, called to be an apostle, set apart for the gospel of God, )

1:2 “คือข่าวประเสริฐที่ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า โดยทางพวกผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” 

(which he promised beforehand through his prophets in the holy Scriptures,) 

1:3 “ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดมาโดยสืบเชื้อสายจากดาวิดทางฝ่ายเนื้อหนัง” 

(concerning his Son, who was descended from David according to the flesh) 

1:4 “แต่ฝ่ายจิตวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นทรงปรากฏด้วยฤทธานุภาพว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” 

(and was declared to be the Son of God in power according to the Spirit of holiness by his resurrection from the dead, Jesus Christ our Lord, )

1:5 “โดยทางพระองค์นั้นพวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครทูต เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ให้ไปประกาศแก่ชนทุกชาติให้เขาวางใจและเชื่อฟัง” 

(through whom we have received grace and apostleship to bring about the obedience of faith for the sake of his name among all the nations,)

1:6 “รวมทั้งพวกท่านที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วย”

(including you who are called to belong to Jesus Christ,)

1:7 “เรียน ทุกท่านที่อยู่ในกรุงโรมผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก และทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด”

(To all those in Rome who are loved by God and called to be saints: Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.)

1:8 “ก่อนอื่น ขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าสำหรับพวกท่านทุกคน โดยทางพระเยซูคริสต์ เพราะว่าความเชื่อของท่านเลื่องลือไปทั่วโลก” 

(First, I thank my God through Jesus Christ for all of you, because your faith is proclaimed in all the world.)

1:9 “เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้า ในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์นั้นทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่ออธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงพวกท่านเสมอ” 

(For God is my witness, whom I serve with my spirit in the gospel of his Son, that without ceasing I mention you )

1:10 “ข้าพเจ้าทูลขอว่า ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว ให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาหาพวกท่านในที่สุด” 

(always in my prayers, asking that somehow by God’s will I may now at last succeed in coming to you. )

1:11 “เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่าน เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้และเพื่อเสริมกำลังท่าน”

(For I long to see you, that I may impart to you some spiritual gift to strengthen you)

1:12 “หมายความว่าจะได้มีการหนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย” 

(that is, that we may be mutually encouraged by each other’s faith, both yours and mine. )

1:13 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่)” 

(I do not want you to be unaware, brothers, that I have often intended to come to you (but thus far have been prevented), in order that I may reap some harvest among you as well as among the rest of the Gentiles.)

1:14 “ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและชาติอื่นๆ ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนที่ไม่มีการศึกษาด้วย” 

(I am under obligation both to Greeks and to barbarians, both to the wise and to the foolish. )

1:15 “ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย”

(So I am eager to preach the gospel to you also who are in Rome.)

 1:16 “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย” 

(For I am not ashamed of the gospel, for it is the power of God for salvation to everyone who believes, to the Jew first and also to the Greek.)

1:17 “เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”

(For in it the righteousness of God is revealed from faith for faith, as it is written, The righteous shall live by faith.”)

1:18 “เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง” 

(For the wrath of God is revealed from heaven against all ungodliness and unrighteousness of men, who by their unrighteousness suppress the truth. )

1:19 “เพราะการที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับพวกเขา เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่เขาแล้ว” 

(For what can be known about God is plain to them, because God has shown it to them. )

1:20 “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” 

(For his invisible attributes, namely, his eternal power and divine nature, have been clearly perceived, ever since the creation of the world, in the things that have been made. So they are without excuse. )

1:21 “เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป”

(For although they knew God, they did not honor him as God or give thanks to him, but they became futile in their thinking, and their foolish hearts were darkened. )

1:22 “ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป” 

(Claiming to be wise, they became fools, )

1:23 “และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน”

 (and exchanged the glory of the immortal God for images resembling mortal man and birds and animals and creeping things.)

1:24 “เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขาทำสิ่งที่น่าอับอายต่อกายของกันและกัน” 

(Therefore God gave them up in the lusts of their hearts to impurity, to the dishonoring of their bodies among themselves,)

1:25 “เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ ทั้งนมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์ อาเมน”

(because they exchanged the truth about God for a lie and worshiped and served the creature rather than the Creator, who is blessed forever! Amen.)

1:26 “เพราะเหตุนี้ พระเจ้าทรงปล่อยให้เขามีกิเลสตัณหาอันน่าอัปยศ พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป” 

(For this reason God gave them up to dishonorable passions. For their women exchanged natural relations for those that are contrary to nature; )

1:27 “ส่วนผู้ชายก็เลิกมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟราคะตัณหาที่มีต่อกันผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันน่าละอายอย่างยิ่ง เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา”

(and the men likewise gave up natural relations with women and were consumed with passion for one another, men committing shameless acts with men and receiving in themselves the due penalty for their error.)

1:28 “และเพราะเขาเห็นว่าการรู้จักพระเจ้าไม่เป็นสิ่งสำคัญ พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีจิตใจเสื่อมทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม” 

 (And since they did not see fit to acknowledge God, God gave them up to a debased mind to do what ought not to be done.) 

1:29 “พวกเขาเต็มด้วยการอธรรมทุกชนิด ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การวิวาท การหลอกลวง การคิดร้าย พูดนินทา” 

(They were filled with all manner of unrighteousness, evil, covetousness, malice. They are full of envy, murder, strife, deceit, maliciousness. They are gossips, )

1:30 “ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า ดูถูกคนอื่น เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว คิดทำชั่วแปลกๆ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา”

(slanderers, haters of God, insolent, haughty, boastful, inventors of evil, disobedient to parents,) 

1:31 “ไร้ปัญญา ไร้ความซื่อสัตย์ ไร้ความรักกัน ไร้ความเมตตา” 

(foolish, faithless, heartless, ruthless. )

1:32 “แม้เขาจะรู้บัญญัติอันชอบธรรมของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นชอบกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย”

 (Though they know God’s righteous decree that those who practice such things deserve to die, they not only do them but give approval to those who practice them.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       ผู้รับใช้” ( a servant)

           =   1) ทาส ของนาย เป็นสมบัติของนายไม่มีอิสรภาพไม่อาจละทิ้งหน้าที่
                2).คนรับใช้ ซึ่งเลือกรับใช้นายด้วยความเต็มใจ
                                                                        (อพย.14:31;อสย.41:8-9;42:1)
1:2       “ผู้เผยพระวจนะ”   ( prophets ) 

            =ไม่ใช่เฉพาะผู้เขียนพระธรรมในหมวดผู้เผยพระวจนะเท่านั้น
               พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”  (the holy Scriptures) =พันธสัญญาเดิม

1:3       “เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์” ( his Son)

           =  พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าคือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ และพันธสัญญาทั้งหมดในพระคัมภีร์เดิมเป็นจริงในพระองค์และผ่านทางพระองค์ (ลก24:27;44-472คร1:20)

1:4       “การเป็นขึ้นมาจากความตาย” (resurrection from the dead) = แสดงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเป็นประเด็นสำคัญในการ ประกาศของอัครทูต (กจ2:14-40;4:33)

1:7       ธรรมิกชน” (to be saints:)

           = บางฉบับแปลว่า “ประชากรของพระองค์” แนวคิดพื้นฐานของคำๆ นี้คือ “บริสุทธิ์” ดังนั้นความหมายของคำนี้คือ คริสเตียนทุกคนเป็นประชากรของพระเจ้าที่ได้รับการ “แยกไว้” เพื่อพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังถูกทำให้บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ (1คร1:2)

             พระคุณ และ สันติสุข” (Grace to you and peace) = คำผสมผสาน ระหว่างการทักทายแบบกรีก(พระคุณ)และฮีบรู(สันติสุข) ที่เปาโลและเปโตร ใช้ทักทายในจดหมายที่เขียน

             1.พระคุณ=การที่เราได้รับในสิ่งที่เราไม่ควรจะได้รับ
             2.สันติสุข=การอยู่ดีมีสุขและปลอดภัยที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผู้ที่พักสงบอยู่กับพระองค์ (รม5:1;ฟป4:7;กท.1:3;อฟ.1:2;ยน14:27;20:19)

1:8       ขอบคุณพระเจ้า” (thank my God)

            = เปาโลมักเริ่มต้นจดหมายด้วยการขอบคุณ (1คร1:4;อฟ.1:16; ฟป1:3-4;คส1:3;1ธส1:2;2ธส1:3;2ทธ1:3;ฟม4)

 

1:9       ข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์” ( the gospel of his Son)

            = ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในข้อ1

1:10     มีโอกาส” (succeed) ~รม.15:23-29

1:12     ซึ่งกันและกัน” (both yours )

           = เปาโลปรารถนาให้ผู้เชื่อที่โรม ปรนนิบัติรับใช้กันด้วยความถ่อมใจ เหมือนอย่างที่ท่านปฏิบัติต่อพวกเขา

1:13      พี่น้องทั้งหลาย” (brothers) = วลีที่เปาโลใช้เรียกฝูงชนทั้งหญิงและชาย (กจ1:14-16)
            “เก็บเกี่ยวผล” (harvest) = ได้รับผลดีจากผู้ที่กลับมาเชื่อใหม่ๆและผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว
              ในหมู่พวกท่าน…เช่นเดียวกับในหมู่ผู้เชื่ออื่นๆ” ( among you as well as among the rest of theGentiles) = บ่งบอกว่า คริสตจักรที่โรมมีคนต่างชาติมาก

1:14     “พวกกรีก” (Greeks)

            = คนต่างชาติที่พูดภาษากรีก หรือดำเนินชีวิตตามแบบคนกรีก
            ชาติอื่นๆ” (barbarians)

             =  “ผู้ที่ไม่ใช่กรีก” ที่แปลตรงตัวคือ “คนป่าเถื่อน” (บาบารอส)

1:16-17 = ใจความหลักของพระธรรม โรม ทั้งเล่ม

1:16     ไม่มีความละอาย” ( not ashamed)

             = ไม่อาย(ไม่กลัว)ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแม้แต่ในกรุงโรม เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน(ข.15)
            ก่อน” (first) = ไม่ใช่ก่อนในเรื่องของในเรื่องของเวลา แต่ในเรื่องสิทธิพิเศษด้วย เช่นที่พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ทรงเป็นยิว ตรัสว่าความรอดมาจากพวกยิว(ยน4:22) และพวกเขาได้รับพันธสัญญา พระบัญญัติ การนมัสการในพระวิหาร และคำพยากรณ์เรื่องพระเมสสิยาห์ (9:3-5) แต่ไม่ใช่เพราะว่าพวกยิวมีคุณงามความดีมากกว่าใครๆ แต่พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ได้ถูกกำหนดให้เริ่มต้น และรับผิดชอบนำข่าวประเสริฐไปสู่ชาติอื่นๆ

1:17     ความชอบธรรม” ( righteousness)

            = สถานภาพที่มีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับพระเจ้า (2:13;3:21,24)

1:18-3:20   = เปาโล ขยายความประเด็นหลักเรื่องความชอบธรรมจากพระเจ้า(1:17;3:21-5:21)โดยแสดงให้เห็นว่า
            1).ทุกคนมีบาป
             2).แต่ละคนต้องการความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า
            3).ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นยิว (2:1-3:8)หรือต่างชาติ (1:18:-32) ล้วนบาปเหมือนกัน

1:18-20   =ไม่มีใคร ไม่ว่าผู้นั้นจะได้ยินเรื่องพระคัมภีร์มาก่อนหรือไม่ก็ตาม ล้วนไม่อาจมีข้ออ้างที่จะไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้เห็นแล้วผ่านธรรมชาติ และช่องทางต่างๆ

1:18     สำแดงพระพิโรธ” (the wrath)

           =  พระเจ้ามิได้จะทรงสำแดงพระพิโรธต่อคนทำชั่ว เฉพาะตอนจะสิ้นยุคเท่านั้น (1ธส1:10;วว19:15;20:11-15) แต่พระพิโรธของพระองค์ในตอนนี้ คือ ทรงปล่อยให้คนบาปทำชั่วต่อไป (1:24-33) พระพิโรธ ไม่ใช่การระบายความโกรธฉุนเฉียวอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนที่มนุษย์แสดงออกมาให้เห็น บ่อยๆ แต่เป็นความพิโรธต่อสิ่งที่ขัดแย้งและต่อต้านต่อพระลักษณะและพระประสงค์อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า
            “ความจริง” (revealed from heaven)

            = ความจริงของพระเจ้าที่ทรงสำแดงให้เห็นแล้วในการทรงเนรมิตสร้างสิ่งต่างๆ ในจักรวาลนี้

1:21    “รู้จักพระเจ้า” (knew God)

          = มนุษย์สามารถรู้จักพระเจ้าได้ผ่านการสำแดงพระองค์ในท่ามกลางสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ที่เป็นระบบระเบียบ จนเกิดจะเกิดขึ้นเองได้โดยปราศจากการออกแบบของผู้มีสติปัญญาเลิศล้ำ(19-20)
            ขอบคุณ” (give thanks)

           = มนุษย์ควรขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรฝ่ายโลกมากมาย เช่น ดวงอาทิตย์ ฝน พืชพันธุ์ ธัญญาหารต่างๆ (มธ5:45;กจ14:17)              

1:23     พระสิริ” (the glory) = บางฉบับแปลว่า “พระเกียรติสิริ”

            =พระบารมีของพระเจ้าที่ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ (อสย40:5;48:11)
            เพราะมนุษย์ตกต่ำล้มลงในความบาปจึงทำให้เขาไม่อาจมองเห็นได้ พวกเขาจึงเอาสิ่งที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมา   ตามแบบสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างมาแทนที่พระเจ้า

1:24,26,28 พระเจ้าจึงทรงปล่อย” (God gave )

             = พระเจ้าทรงปล่อยให้คนที่ตั้งใจไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน และนั่นคือการพิพากษา

1:25     อาเมน” (Amen ) =    1). ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นแหละ      2).ขอให้เป็นเช่นนั้น
                                                (9:5;11:36;15:33;16:27;ฉธบ27:15;1พกษ1:36)
1:26     “พวกผู้หญิงของเขา” ( For their women)= ผู้หญิง ทั่วไป

1:27     ประกอบกิจอันน่าละอาย” ( committing shameless acts)

            = การร่วมเพศกับคนเพศเดียวกัน เป็นการประพฤติที่ผิดแบบแผนทรงพระเจ้าทรงกำหนดและออกแบบไว้ จะก่อเกิดปัญหาตามมา และจะนำไปสู่โทษที่กำหนดไว้ (ลนต 18:22;20:13)

1:28     “การรู้จักพระเจ้า” ( acknowledge God)-ดู ข้อ 19,21
            จิตใจเสื่อมทราม” (debased mind)

            = มีความตั้งใจเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงตามมาด้วยการกระทำ (ข.21;มก7:20-23)

1:29-31 =รายการของความชั่วร้ายที่คล้ายๆ กับใน 13:13;1คร5:10-11;6:9-10;2คร12:20 ;กท5:19-21;อฟ4:31;5:3-5; คส3:5,8;1ทธ1:9-10;2ทธ3:2-5;วว21:8;22:15)

1:32     แม้เขารู้” (though they know ) = พวกเขาประพฤติตนไม่ดี ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี หรือพระเจ้าทรงประสงค์อะไร แต่ เกิดจากการดื้อด้าน และกบฏของพวกเขาเอง
            เห็นชอบ” ( give approval) = พวกเขาทำบาปมากขึ้น เพราะพวกเขาเห็นดีงามกับบาปของคนอื่น แทนที่จะรู้สึกเสียใจ และละอายใจ

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณมีอะไรที่เป็นสาเหตุที่จะทำให้คนอื่นขอบคุณพระเจ้าได้ด้วยความชื่นชมบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  2. คุณพูดอย่างเต็มปากได้หรือไม่ว่า เวลานี้คุณกำลังได้รับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตจิตใจของคุณ? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยมีใจปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อที่จะไปพบใครบางคนหรือบางกลุ่มเป็นพิเศษบ้างหรือไม่? เพื่ออะไร? แล้วได้ทำตามที่ปรารถนาหรือไม่?  อย่างไร?
  1. คุณเคยรู้สึกว่าคุณเป็น “หนี้ข่าวประเสริฐ” ต่อใครบางคนหรือคนบางกลุ่มอย่างจริงใจ หรือไม่? ทำไม? แล้วเกิดอะไรขึ้นตามมา?
  2. คุณเข้าใจประโยคต่อไปนี้อย่างไรบ้าง ที่ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ?” และส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?  (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยรู้จักกับพระเจ้าผ่านการ “สำแดง” อะไรบ้าง? และส่งผลต่อการตัดสินและการดำเนินชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
  4. คุณรู้สึกอย่างเมื่อเห็นคนกราบไหว้รูปเคารพ ประเภทต่างๆ เต็มไปหมด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่คุณรัก) และส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  1. คุณมีทัศนคติในเรื่อง LGBTQ อย่างไรบ้าง? คุณสนับสนุนให้คนเพศเดียวกันอยู่กินด้วยกันหรือไม่? ทำไม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมกิจการ (บทเรียนที่ 33)

พระธรรมกิจการ (บทเรียนที่ 33)

เกือบจะไม่รอด!

พระธรรม          กิจการ 27:1-44

อ้างอิง              กจ.6:9;10:1;16:9-10;18:2,9;19:29;23:11;25:12,25;28:1,11

บทนำ               ชีวิตของเราอาจเจอะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ต้องหวาดหวั่น เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับเราอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เราต้องมีทั้งความเชื่อ ความกล้า และมีสติปัญญาในการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ และข่าวประเสริฐ!

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมกิจการ (บทเรียนที่ 32)

พระธรรมกิจการ บทเรียนที่ 32

เปาโลแก้คดีต่อพระพักตร์กษัตริย์

พระธรรม        กิจการ 26 :1-32

อ้างอิง            กจ.23:6;8:3;9:20,28-29;22:4-5;ฟป.3:5;อสย.42:6;49:6;1คร.15:20

บทนำ            การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องสะดวก หรือเกิดผลดีดังใจนึกเสมอไปบ่อยครั้งต้องเผชิญกับโจทย์ยาก ซับซ้อน บางครั้งก็เดือดร้อนอันตราย แต่หากเรามีหัวใจอย่างผู้รับใช้ เราจะไม่หวั่นไหว จะยืนหยัดรับใช้ตามที่ได้รับมอบหมายต่อไปอย่างฉลาด สัตย์ซื่อ และทรหดอดทนจนถึงที่สุด

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมกิจการ บทเรียนที่ 31

เปาโล เฟสทัส อากริปปา และ เบอร์นิส

พระธรรม    กิจการ 25:1-27

อ้างอิง       กจ.17:22;18:15;20:3;22:22;23:9,29-30;24:1-13,23-27;25:11;26:30;28:17-19;ลก.23:2

บทนำ        ชีวิตรับใช้พระเจ้าอาจมีช่วงที่เราโลดแล่นอย่างมีเสรี แต่ก็อาจมีบางช่วงที่เราต้องถูกกระทำให้หมดอิสรภาพในการทำในสิ่งที่เราปรารถนาที่จะกระทำ แต่ขอให้เรายังคงรับใช้ตามสถานภาพและจังหวะของชีวิตต่อไป โดยไม่หวั่นไหวแค่นั้นก็พอแล้ว!